ภาษาของคนอังกฤษและคนอเมริกัน
ภาษาอังกฤษของคนอังกฤษและคนอเมริกันต่างกันอย่างไร
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของทั้งประเทศอังกฤษและอเมริกา แต่เราควรรู้่ว่าภาษาอังกฤษของสองประเทศนี้ัไม่เหมือนกัน
มีนาคม 2564
ใครรู้บ้างว่า ภาษาอังกฤษของคนอังกฤษกับคนอเมริกันต่างกันตรงไหน
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่ถือกำเนิดมาเป็นร้อยๆปี พวกเราก็เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง แต่ใครจะรู้บ้างว่าทั้งสองประเทศนี้มีภาษาอังกฤษที่ไม่เหมือนกัน
มาฟังประวัติศาสตร์กันหน่อยดีมั้ย สหรัฐอเมริกาเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษมาโดยตลอดจนถึงปีค.ศ. 1776 ซึ่งภาษาอังกฤษก่อนปีนี้ก็ยังเป็นภาษาที่เหมือนกันอยู่ คนอเมริกันก็ยังพูดสำเนียงอังกฤษแบบคนในประเทศอังกฤษ
แต่หลังจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศตัวเป็นอิสรภาพ ไม่เป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษอีกต่อไป ภาษาอังกฤษที่ใช้กันในสองประเทศนี้ก็ค่อยๆแตกต่างกันไปทีละนิด และพัฒนาไปเป็นภาษาอังกฤษของตัวเอง อ่านถึงตอนนี้ พวกเราบางคนก็คงจะงงๆว่า อ้าว ภาษาอังกฤษนี่มีทั้งภาษาอังกฤษของประเทศอเมริกา และภาษาอังกฤษของประเทศอังกฤษด้วยหรือ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ในขณะที่ทั้งคนอังกฤษและคนอเมริกาต่างก็ยังเข้าใจภาษาอังกฤษที่อีกฝ่ายพูดได้เป็นอย่างดี แต่คำศัพท์บางคำก็ยังมีความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ขึ้นกับว่าจะใช้คำนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอังกฤษ ท่าทางการแสดงออกเวลาที่พูดภาษาอังกฤษหรือแม้แต่สำเนียงการพูดก็ยังแตกต่างกันมาก ทำให้บางสถานการณ์เกิดความเข้าใจผิดกันได้ ดังนั้นก็น่าจะเป็นการดีที่เราควรจะรู้ไว้บ้าง ว่า ภาษาอังกฤษที่คนอเมริกันกับคนอังกฤษใช้กัน มีตรงไหนที่แตกต่างกันบ้าง เราจะได้ใช้ภาษาอังกฤษได้เก่งขึ้นไปอีก
ก่อนที่ลงลึกไปกว่านี้ เราลองมาทดสอบภาษาอังกฤษอย่างง่ายๆกันก่อน เพื่อจะได้เห็นว่าภาษาอังกฤษของคนอังกฤษและคนอเมริกันมีการใช้ที่แตกต่างกันจริง
เรามาเริ่มที่คำศัพท์กันก่อน
1. คำศัพท์
จะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ มีการใช้คำศัพท์ในการเรียกสิ่งของ สถานที่ ที่ไม่เหมือนกัน ผู้เขียนได้ทำตารางสำหรับคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ทั้งสองประเทศใช้ต่างกันมาให้ได้ลองอ่านดู แล้วจะสังเกตได้ว่า ภาษาอังกฤษที่เราเรียนกัน ได้รับอิทธิพลมาจากทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษเลย
ภาษาอังกฤษของคนอเมริกัน | ภาษาอังกฤษของคนอังกฤษ |
---|---|
Subway (รถไฟใต้ดิน) | Underground |
Downtown (ตัวเมือง) | City centre |
Elevator (ลิฟต์) | Lift |
Parking lot (่ลานจอดรถ) | Car park |
Reservation (จองที่พัก) | Booking |
Check (ขอใบเสร็จ) | Bill |
Restroom (ห้องน้ำ) | Toilet |
Gasoline (น้ำมัน) | Petrol |
Sidewalk (ทางเดิน ทางเท้า) | Pavement |
Garbage (ขยะ) | Rubbish |
Closet (ตู้เสื้อผ้า) | Wardrobe |
2. การอ่านออกเสียง
จากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้แยกตัวจากประเทศอังกฤษมาเป็นเวลานาน ทำให้การอ่านออกเสียงคำศัพท์ต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศอังกฤษ
และด้วยเหตุผลดังกล่าว เลยทำให้คำศัพท์คำเดียวกันแท้ๆ แต่พอคนพูดเป็นคนอเมริกันหรือคนอังกฤษ กลับทำให้เราฟังแล้วงงไปเลย ว่า เอ นี่คือคำอะไรกันแน่
ลองมายกตัวอย่างกันดู
คุณเรียกโลหะชนิดนี้ว่าอะไร
เห็นมั้ยว่า บางทีคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่พูดโดยคนที่เป็นเจ้าของภาษาทั้งสองประเทศนี้ ก็อาจทำให้เราสับสนได้ ดังนั้นเรามาลองดูคำอื่นๆไปด้วยดีกว่าจากในตาราง จะได้พอเป็นไอเดียเวลาเจอคนอังกฤษหรือคนอเมริกันมาพูดกับเรา เราจะได้เข้าใจง่ายขึ้น
คำศัพท์ | การออกเสียงของคนอเมริกัน | การออกเสียงของคนอังกฤษ |
---|---|---|
Tomato (มะเขือเทศ) | โท-เม-โท | โท-มา-โท |
Advertisement (โฆษณา) | แอ๊ด-เวอ-ไทซ์-เมนท์ | แอ๊ด-เวอ-ทิซ-เมนท์ |
Yogurt (โยเกิร์ต) | โย-เกิร์ต | ย้อก-เกิร์ต |
Vitamin (วิตามิน) | ไว-เทอ-มิน | วิท-เออ-มิน |
Garage (โรงรถ) | เกอ-ร่าช | การ์-เอ่อ |
ข้อแตกต่างทั้งหลายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แน่นอนว่า พวกเราก็คงสงสัยกันว่าทำไมภาษาอังกฤษเหมือนกันแต่พอไปใช้ในสองประเทศนี้ ภาษาถึงได้แตกต่างกันได้ขนาดนี้ จริงๆแล้วจุดเริ่มต้นก็มาจากประเทศอังกฤษในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงในขณะนั้น ซึ่งในอดีตคนอังกฤษส่วนใหญ่ก็พูดสำเนียงภาษาอังกฤษเหมือนคนอเมริกันในปัจจุบัน แต่พอกลุ่มชนชั้นสูงเห็นดังนั้น ก็อยากที่จะทำให้ภาษาอังกฤษของประเทศอังกฤษมีความแตกต่างจากคนอเมริกัน จึงมีการประดิษฐ์การออกเสียงขึ้นมาใหม่ รวมถึงลักษณะการแสดงออกเวลาที่พูดภาษาอังกฤษ เพื่อให้เป็นภาษาอังกฤษที่มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งคนอังกฤษก็อยากที่จะทำตามแบบกลุ่มชนชั้นสูงนี้ เลยทำให้มีการปรับรูปแบบการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลายมาเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษที่เรารู้จักกันว่าเป็น “ภาษาอังกฤษของพระราชินี”
แต่ในขณะที่มีความแตกต่างอย่างมากในสำเนียงและการอ่านออกเสียง แต่ในเรื่องของความหมายนั้นยังคงไว้ตามเดิม ทำให้คนอเมริกันและคนอังกฤษยังสื่อสารเข้าใจภาษาอังกฤษด้วยกันได้
3. การสะกดคำ
ภาษาอังกฤษของคนอเมริกันและคนอังกฤษไม่ได้แตกต่างกันเฉพาะเวลาพูดเท่านั้น การเขียนภาษาอังกฤษสำหรับบางคำก็ยังไม่เหมือนกันอีกด้วย เคยหรือไม่ ที่เวลาเราสอบสะกดคำศัพท์ แล้วเรามั่นใจว่าเราสะกดถูก แต่คุณครูบอกว่าผิด เพราะบางทีคุณครูก็ลืมไปว่ามีภาษาอังกฤษของสองประเทศที่สะกดไม่เหมือนกัน ทำให้คำตอบที่ถูกก็ต้องมีสองแบบ นักเรียนจะได้ไม่เสียคะแนน
color | colour
จะเห็นได้ว่ามีการสะกดคำว่า คำว่า “สี” 2 แบบในประโยคเดียวกัน แต่ก็ถือว่าสะกดถูกทั้งคู่ ตัวสะกดคำแรก
“ color” เป็นการเขียนแบบคนอเมริกัน ส่วนคำที่สอง “ colour” เป็นการเขียนแบบคนอังกฤษ
ยังมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษอีกหลายคำ ที่ีเขียนตัวสะกดแตกต่างกันระหว่างคนอเมริกันและคนอังกฤษ ซึ่งผู้เขียนได้เลือกคำศัพท์ที่ใช้กันบ่อยๆมาให้พอเป็นความรู้ ตามตารางข้างล่างนี้
คำศัพท์สะกดแบบคนอังกฤษ | คำศัพท์สะกดแบบคนอเมริกัน |
---|---|
center (ศูนย์กลาง) | centre |
defense (การป้องกัน) | defence |
offense (ความผิด) | offence |
organize (จัดการ) | organise |
behavior (พฤติกรรม) | behaviour |
meter (เมตร) | metre |
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกเขียนตัวสะกดคำศัพท์แบบประเทศไหน ก็ถือเป็นที่ยอมรับกันทางสากล เพียงแต่จะต้องใช้แบบเดียวกันทั้งหมด เช่น ถ้าจะเลือกเขียนภาษาอังกฤษแบบประเทศอังกฤษ ข้อความทั้งหมดก็ต้องอิงคำศัพท์ตัวสะกดแบบประเทศอังกฤษทั้งหมด ไม่ใช่ว่าประโยคนี้ใช้คำศัพท์สะกดแบบประเทศอังกฤษ แต่ประโยคถัดไปใช้ตัวสะกดแบบประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
4. แกรมม่า หรือ ไวยากรณ์
โดยรวม ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของคนอังกฤษและคนอเมริกันค่อนข้างจะเหมือนกัน แต่ก็มีบางจุดที่แตกต่างกันบ้างที่เราควรรู้ไว้เพื่อเพิ่มพูนความรู้การใช้ภาษาอังกฤษของพวกเรา
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการใช้ Tense หรือรูปแบบกริยา ในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ Present perfect tense และ Past simple tense ซึ่งคนอังกฤษจะเข้มงวดมากในการใช้รูปแบบกริยา ว่าต้องให้ถูกต้องจริงๆ ในขณะที่คนอเมริกันจะยอมรับง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่น การใช้รูปกริยาของ Past simple tense ในประโยคนี้ “I didn’t check it yet” ความหมายคือ “ผมยังไม่ได้ตรวจสอบเลย” ซึ่งการเขียนแบบนี้ คนอเมริกันบอกว่าพอใช้ได้ แต่ถ้าเป็นที่ประเทศอังกฤษ คนอังกฤษจะบอกว่าเขียนผิดทันที ที่ถูกคือต้องใช้รูปกริยาแบบ Present perfect tense ซึ่งก็คือ “I haven’t checked it yet”. เหตุผลคือการใช้คำว่า “yet” ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ได้เริ่มมาแล้วในอดีตและต่อมาถึงปัจจุบัน จึงต้องใช้รูปกริยาแบบ Present perfect tense
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างของการใช้คำสรรพนามแทนคำนามอีกด้วย คือ คนอังกฤษจะใช้คำว่า “which” ในขณะที่คนอเมริกันมักจะใช้คำว่า “that” มากกว่า
เรามาดูกันสักหนึ่งตัวอย่าง:
Icecream is a food which is sweet.
Icecream is a food that is sweet.
ทั้งสองประโยค จะมีความหมายที่เหมือนกันคือ “ไอศครีมเป็นอาหารที่มีรสชาติหวาน” เพียงแต่การใช้คำสรรพนามจะต่างกันเล็กน้อยระหว่างคนอเมริกันกับคนอังกฤษ
ส่วนความไม่เหมือนกันอีกหนึ่งเรื่องของภาษาอังกฤษจากทั้งสองประเทศนี้ก็คือ คนอังกฤษจะพููดภาษาอังกฤษแบบที่เป็นทางการมากกว่าคนอเมริกัน ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการที่คนของประเทศนี้ยึดหลักความถูกต้องของการใช้ภาษาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการใช้ไวยากรณ์ให้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น เวลาที่พูดคุยเกี่ยวกับอนาคตที่ได้คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น คนอังกฤษจะใช้คำว่า “shall” ในขณะที่คนอเมริกันซึ่งใช้ภาษาอังกฤษในรูปแบบที่สบายๆกว่า จะใช้คำว่า “will” หรือ “should” แทนในความหมายเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงเราจะเห็นว่าภาษาอังกฤษของคนอเมริกันดูจะไม่ค่อยเข้มงวดในเรื่องความถูกต้องของการใช้ภาษาเท่ากับคนอังกฤษ แต่เราก็ยังต้องให้ความสำคัญกับความรู้พื้นฐานเรื่องไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษอยู่ดี เพราะจะทำให้ทุกคนเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น
บทสรุป
จากที่ได้อ่านกันมาทั้งหมด เราได้เห็นถึงความแตกต่างบางอย่างของภาษาอังกฤษที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ในขณะเดียวกันภาษาอังกฤษของทั้งสองประเทศนี้ก็ยังมีความเหมือนกันอยู่มาก นั่นก็หมายความว่า เราไม่ต้องกังวลมากเกินไปในการที่จะใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เพราะทุกคนจะเข้าใจที่เราพูด ไม่ว่าภาษาอังกฤษที่เราใช้จะเป็นแบบอังกฤษหรืออเมริกัน
แต่อย่างหนึ่งที่อยากให้พวกเรานึกไว้เสมอเวลาที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งก็คือความสอดคล้องของภาษา โดยเฉพาะเวลาที่เราจะเขียนภาษาอังกฤษ ถ้าจะใช้ภาษาอังกฤษแบบคนอเมริกัน ก็ต้องมั่นใจว่าทั้งคำศัพท์ ตัวสะกด และรูปแบบกริยาของภาษาอังกฤษที่ใช้ก็ต้องไปในทางเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการเขียนที่เป็นทางการ เช่น รายงาน จดหมาย แม้กระทั่ง จดหมายอิเลคทรอนิกส์
แล้วคุณล่ะครับ พูดภาษาอังกฤษแบบไหน แบบคนอเมริกันหรือคนอังกฤษ